เปิดวิธีดูแลหลังสัก รักษาอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงติดเชื้อ
ในปัจจุบัน 'การสัก' ถือเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งกว่าจะมาเป็นความสวยงามบนเรือนร่าง ก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดในระหว่างทาง เพราะการสักคือการนำเข็มมาสักแทงเพื่อให้สีติดลงบนผิวหนัง จนเกิดเป็นอักขระ หรือลวดลายตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการสักบนเรือนกาย หรือการสักเพื่อเพิ่มความสวยงามบนใบหน้า อย่างการสักคิ้ว ก็มีขั้นตอนใกล้เคียงกัน โดยกระบวนการสักที่สมบูรณ์ไม่ได้จบแค่ช่างลงลาย ลงสี หรือลงเงาเสร็จเท่านั้น แต่ยังมีวิธีดูแลหลังสักที่ควรรู้ เพื่อให้สีสวย คมชัด อยู่นาน ซึ่งหากดูแลไม่ดีก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนส่งผลร้ายตามมาได้
การดูแลรอยสัก
การทำความสะอาดและรักษารอยสักใหม่ในช่วงแรก
หลังจากสักเสร็จเรียบร้อย ช่างสักจะแร็ปงานไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนที่ส่งผลต่อลวดลายและเพื่อป้องกันไม่ให้แกะออกก่อนเวลาที่ช่างสักแนะนำ ซึ่งระยะเวลาอาจแตกต่างกันไปตามรูปแบบการสัก หลังจากเอาที่แร็ปออกให้ทำความสะอาดด้วยทิชชูเปียกที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือใช้น้ำเกลือในการซับแผลให้สะอาดเพื่อไม่ให้แผลอับชื้น พร้อมวิธีการดูแล ดังนี้
- อาบน้ำได้ตามปกติ แต่ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่สักจนกว่าแผลจะลอกเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
- ใช้ยาบีแพนเธน เฟิร์สเอด ครีม (Bepanthen First Aid) มาทาบาง ๆ หลังอาบน้ำ เช้า-เย็น
- ไม่ควรใช้ครีมตัวอื่นที่ไม่มีตัวยาในการรักษา หรือสมานแผล มาทาบริเวณรอยสัก
- ห้ามกด แกะ เกา จนกว่าแผลจะลอกออกไปเอง เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
ในช่วงที่รอยสักยังไม่ลอกออกหมด เป็นช่วงที่ต้องรักษารอยสักใหม่ให้ดี โดยมีวิธีสังเกตหากเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น การบวมแดงบริเวณรอยสักมากผิดปกติ อาการไข้ ตัวสั่น มีของเหลวอย่างหนอง หรือเลือด ไหลซึมออกมาจากแผลในปริมาณมาก เกิดสะเก็ดแผลผิดปกติรอบบริเวณรอยสัก มีผื่นคันและมีอาการบวมนานกว่า 1 สัปดาห์ หากมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งมากผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
การดูแลสักคิ้ว
นอกจากใช้ดูแลรอยสักบนเรือนร่างแล้ว วิธีรักษารอยสักใหม่ที่กล่าวมา ยังสามารถใช้สำหรับการดูแลสักคิ้วได้อีกด้วย โดยมีขั้นตอนสำคัญที่ควรรู้สำหรับการสักคิ้วโดยเฉพาะ เช่น
- ห้ามให้คิ้วโดนน้ำโดยเด็ดขาด เนื่องจากความชื้นจากน้ำจะเข้าไปแทนที่หมึก ทำให้สีจางและไม่ติดผิว
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก เช่น การออกกำลังกายหนัก หรืออบซาวน่า จนกว่าคิ้วที่สักจะตกสะเก็ดหลุดหมด เพื่อให้สีใหม่ดันขึ้นมาได้อย่างชัดเจน ไม่จาง
เพียงทำตามวิธีเหล่านี้ ก็สามารถดูแลรอยจากการสักให้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงติดเชื้อ สิ่งสำคัญคือการหมั่นดูแลด้วยครีมทารอยสักใหม่ที่มีความสามารถในการฆ่าเชื้อและสมานผิว อย่างบีเพนเธน เฟิร์สเอด ครีม ซึ่งมีตัวยาแอนตี้เซปติค (Antiseptic) ช่วยฆ่าเชื้อ ดูแลให้แผลสะอาด สมานตัวได้ดี
คำแนะนำในการใช้ครีมทารอยสักใหม่
- ล้างมือให้สะอาดก่อนทาครีม เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ
- ไม่ควรทาครีมหนาเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการอุดตัน
- หลี่กเลี่ยงการสัมผัสรอยสักโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง จนเกิดการติดเชื้อได้
- ทาครีมอย่างต่อเนื่องจนกว่าแผลรอยสักจะหาย ซึ่งโดยทั่วไปควรทาครีมประมาณ 2-4 สัปดาห์
- สังเกตอาการผิดปกติ หากมีอาการบวม แดง ร้อน หรือมีหนอง ควรหยุดใช้ครีมและปรึกษาแพทย์ทันที
การป้องกันและการแก้ไขปัญหาหลังสัก
การจัดการกับอาการคันและการลอกของผิว
หลักสักเสร็จ หลายคนอาจพบอาการคันและการลอกของผิว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผล โดยทั่วไปผิวจะเริ่มลอกหลังจากการสัก 3-5 วัน โดยสามารถใช้วิธีดูแลหลังสัก เมื่อเกิดอาการคันได้ ดังนี้
- ประคบเย็น จะช่วยลดการอักเสบ อีกทั้งยังทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งคัน
- หลีกเลี่ยงการแกะเกา เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังเกิดรอยแผล ซึ่งก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ อีกทั้งยังอาจทำให้รอยสักเสียหาย ดูไม่สวยงามดังที่ควรจะเป็น
- ทาครีม โดยใช้บีแพนเธน เฟิร์สเอด ครีม (Bepanthen First Aid) เพื่อให้แผลสมานไว ไม่ลอกนานจนเกิดการคัน
วิธีการรักษารอยสักให้สวยงามระยะยาว
เพื่อให้รอยสักคงความสวยงามและคมชัดเป็นเวลานาน จึงมีการดูแลรอยสักอย่างเหมาะสมหลังจากแผลสมาน สะเก็ดลอกออกเรียบร้อยแล้ว ดังนี้
- รักษาความสะอาด หลังจากแผลสมานเป็นอย่างดีแล้ว ต้องดูแลรอยสักด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนโยนอยู่เสมอ
- ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดด เนื่องจากอาจทำให้สีซีดจางได้
- ควบคุมน้ำหนัก เพราะถ้าน้ำหนักขึ้น หรือลงมากไป ก็อาจทำให้ผิวหนังขยาย หรือหดลง จนลายสักบิดเบือนไปจากเดิมได้
- ทาครีม โดยใช้ที่มีส่วนผสมของวิตามินอีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น บีแพนเธน เดลี่ คอนโทรล มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง ครีม
เพียงเท่านี้ก็ครบจบการดูแลรอยสัก ทั้งวิธีดูแลหลังสักใหม่และในระยะยาว เพื่อให้ได้รอยสักสวยงามดังใจหวัง โดยไม่เสี่ยงติดเชื้อ!